Category Archives: Tip & Trick

น้ำมันรั่วใต้ท้องรถ สัญญาณเตือนว่ารถเริ่มมีปัญหา!

ลองสังเกตใต้ท้องรถแล้วพบน้ำมันรั่ว ? มาดูกันว่าน้ำมันที่หยดนั้นเป็นส่วนของเครื่องยนต์ใด หากพบเจอคราบน้ำมันที่พื้น ให้สังเกตดูว่า น้ำมันที่หยดลงพื้นอยู่ตำแหน่งใด หรือ น้ำมันเหล่านั้นมีสีอะไร เพราะเครื่องยนต์แต่ละส่วนใช้น้ำมันหล่อลื่นไม่เหมือนกัน รอยน้ำมันที่รั่วเป็นสีใสหรือขุ่นดำ อาจเป็นน้ำมันเครื่องรอยน้ำมันที่รั่วเป็นสีออกแดง อาจเป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติรอยน้ำมันเป็นสีใสหรือขุ่นดำ มีความเหนียวและหนืด อาจเป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดารอยน้ำมันเป็นสีใสหรือขุ่นดำ มีความเหนียวและหนืดมาก อาจเป็นน้ำมันเฟืองท้าย ผู้ใช้รถควรหมั่นสังเกตใต้ท้องรถและพื้นที่บริเวณที่ใช้จอดรถบ่อยๆ และจำวิธีการสังเกตน้ำมันที่หยดไว้บ้าง เพราะไม่ว่าจะรั่วจุดไหน บริเวณใด ก็ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะอาจส่งผลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยได้ หรือแวะเข้ามาตรวจเช็กสภาพฟรี 30 รายการ กับโปรแกรม CLIK CARE ที่ ออโตคลิก กันได้แล้ววันนี้ออโตคลิก เปิดบริการทุกวัน จันทร์ - อาทิตย์ เวลา 8.00 - 19.00 น.

รถของเราเหมาะกับการเติมลมยางเท่าไหร่กันนะ ?

เติมแรงดันลมยางให้พอดีและเหมาะสมกับการขับขี่ ต้องเติมเท่าไหร่นะ ? - รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมแรงลมที่ 25 - 30 ปอนด์ - รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมแรงลมที่ 30 - 35 ปอนด์ - รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมแรงลมที่ 35 - 40 ปอนด์ - รถตู้บรรทุก 7 - 10 คน ควรเติมแรงลมที่ 43 - 55 ปอนด์ การเติมลมยางที่เหมาะสม อาจขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่บรรทุก และควรเป็นไปตามคู่มือการใช้รถแต่ละรุ่น หรือดูข้อมูลจากด้านข้างประตูรถด้านคนขับ อย่างไรก็ตาม ควรหมั่นตรวจเช็คลมยางรถยนต์ทุกครั้งก่อนออกเดินทางน้าาา

รู้หรือไม่.. . การตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ สำคัญอย่างไร ?

𝟏.การตั้งศูนย์ คือ การตั้งมุมต่างของล้อรถ กำหนดค่าศูนย์ให้ตรงตามสเปคของรถที่ผลิตมา มีประโยชน์ คือ 1.1 เพื่อให้รถวิ่งตรง ไม่เป๋ไปมา : ถ้าตั้งศูนย์ไม่ดีเวลาที่ขับรถล้อก็จะขับเบี้ยวซ้ายเบี้ยวขวา เราจึงตั้งศูนย์เพื่อให้เวลาขับรถไปล้อคู่หน้าและล้อคู่หลังกับระบบช่วงล่างสมดุลกัน 1.2 ป้องกันการกินหน้ายาง : ถ้าล้อรถไม่สมดุลจะส่งผลให้ยางรถสึกไม่เท่ากัน และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ 2.การถ่วงล้อ คือ การเพิ่มน้ำหนักให้กับแต่ละล้อเกิดความสมดุลมากที่สุด เราเห็นเป็นวงกลมๆ เมื่อประกอบเข้ากับกระทะล้อ จุ๊บลมยาง ทำให้เกิดน้ำหนักที่ไม่สมดุลจึงต้องทำการถ่วงน้ำหนักเข้าไปชดเชยมีประโยชน์ คือ ป้องกันเวลารถวิ่งแล้วสั่นสะเทือน : การถ่วงล้อจะกระจายน้ำหนักให้ล้อสมดุล ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ.. .คิดถึง "ออโตคลิก"

3 สัญญาณเตือน! เมื่อผ้าเบรกหมด.. .

ถ้าผ้าเบรกหมด เราจะรู้ได้ยังไงกันนะ โดยอาการของผ้าเบรกหมดจะสังเกตได้ดังนี้! 1. มีอาการเบรกต่ำ คือ เมื่อเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าต่ำกว่าปกติ หรือถ้าเป็นเบรกหลัง (ในบางรุ่น) จะรู้สึกว่าต้องดึงเบรกมือสูงกว่าปกติ นั่นแสดงว่าผ้าเบรกสึกหรอมากแล้ว 2. มีไฟเตือนโชว์ (ไฟเบรกมือ) ที่ตัวเรือนไมล์ ติดค้างเป็นสีแดง เกิดจากการสึกหรอของผ้าเบรก ที่จับอยู่กับจานเบรก โดยสึกหรอจนบางลงทำให้น้ำมันเบรกในกระปุกต่ำกว่าขีด MIN หน้าคอลแทคของสวิตช์ไฟในกระปุกน้ำมันไม่ต่อกันไฟจึงโชว์ค้าง 3. มีเสียงดังเหมือนเหล็กสีกัน ขณะเหยียบเบรก นั่นคือผ้าเบรกได้บางจนถึงตัวเตือนแล้ว (ผ้าเบรกฝั่งที่อยู่ติดกับลูกสูบเบรกจะมีแผ่นเหล็กทำหน้าที่เป็นตัวเตือน) ซึ่งถ้าผ้าเบรกบางน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร แผ่นเหล็กตัวเตือนนี้จึงจะสีกับจานเบรก ทำให้ต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรกทันที สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังจากเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว ไม่เบรกอย่างรุนแรง เพื่อให้เนื้อผ้าเบรกได้ปรับตัวได้อย่างช้า ๆ ผ้าเบรกจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน และลดปัญหาเรื่องเสียงดังอีกด้วย ทั้งหมดนี้อาจจะดูยุ่งยากเสียหน่อยแต่คุ้มค่ากับความปลอดภัยแน่นอน ! ข้อมูลจาก https://car.kapook.com/view64946.html

4 วิธีพิชิต เมื่อรถติดหล่ม

แอดมินจะพามาดูวิธีที่่ช่วยให้รถของทุกท่านรอดพ้นจากการติดหล่ม จะทำยังไงได้บ้าง ไปดูกันดีกว่า! 1.เช็คให้มั่นใจ ล้อไหนติดหล่ม ? ให้ลองสังเกตดูก่อนว่าล้อที่ตกลงไปนั้นเป็นล้อขับเคลื่อนหรือไม่ เพราะวิธีการเอารถขึ้นจะแตกต่างไปตามล้อที่ติดหล่ม -หากเป็น “ล้อขับเคลื่อน” ที่ติดหล่ม จะต้องใช้วิธีการเอาของมาหนุนล้อไว้ แล้วค่อยๆ ออกตัว -แต่หากล้อที่ติดไม่ใช่ล้อขับเคลื่อน ให้ค่อยๆ เดินหน้าถอยหลังเบาๆ สลับกันหลายๆ ครั้ง เพื่อสร้างแรงเหวี่ยงไปเรื่อยๆ แล้วเร่งเครื่องขึ้นตอนที่คิดว่ารถมีแรงเหวี่ยงเพียงพอแล้ว ก็จะเอารถออกมาจากหล่มได้ทันที 2.ก้อนหินหรือกิ่งไม้ ใช้การได้มากกว่าที่คิด! ลองหาก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือกิ่งไม้ที่มีขนาดพอเหมาะ นำไปวางกั้นตัวล้อรถตามแนวขวาง แล้วค่อยๆ เดินรถ ล้อจะปีนขึ้นบนก้อนหินหรือกิ่งไม้ที่เรานำไปขวาง แล้วค่อยๆ หลุดออกจากหล่มได้ในที่สุด 3.เชือกกับแผ่นไม้ ง่ายๆ แต่ได้ผล การใช้เชือกกับแผ่นไม้ช่วยก็เป็นอีกหนึ่งวิธียอดฮิตที่จะเอารถออกมาจากหล่มได้ แถมยังง่ายแสนง่ายอีกด้วย เพียงแค่เราหาแผ่นไม้ที่มีความยาวและแข็งแรง มาผูกติดกับล้อตามแนวนอนให้แน่น ก่อนจะค่อยๆ ขับรถออกช้าๆ รถของท่าน ก็จะหลุดออกมาจากหล่มได้อย่างง่ายดาย! 4.เอาขึ้นไม่ไหว ต้องใช้ “รอก” สุดท้ายท้ายสุดแล้ว ทำอย่างไรก็เอารถขึ้นมาไม่ได้ ก็ต้องกลับมาพึ่งวิธีสุดคลาสสิค นั่นคือการดึงรถขึ้นนั่นเอง! ให้ลองหารอกที่มีขนาดใหญ่แข็งแรง แล้วเอามาผูกหรือเกี่ยวกับหน้ารถไว้ จากนั้นนำไปผูกกับเสาหรือต้นไม้เพื่อให้รอกทำหน้าที่ค่อยๆ ดึงรถขึ้นมา..

5 วิธีไล่ฝ้ากระจกรถยนต์!

5 วิธีไล่ฝ้ากระจกรถยนต์.. .หลายคนคงยังไม่รู้ว่ามีวิธีแก้ไขหรือป้องกันยังไงบ้าง? วันนี้ออโตคลิกได้นำทริคเล็ก ๆ มาบอกให้ทุกคนได้ทราบกัน 1. ปรับอุณหภูมิภายในและภายนอกให้มีความใกล้เคียงกัน  เช่น ถ้าฝ้าขึ้นด้านนอกให้ลดแอร์ลงแต่ถ้าฝ้าขึ้นด้านในให้เร่งแอร์ขึ้น หากสังเกตสภาพอากาศและแก้ไข วิธีไล่ฝ้ากระจกตามนี้ ก็จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน 2. ปรับช่องลมแอร์ไม่ให้โดนกับกระจก  เพราะเมื่อไหร่ที่ความเย็นจากช่องแอร์หันไปโดนกับกระจกก็อาจจะทำอุณหภูมิด้านนอกของบริเวณนั้นสูงขึ้น และทำให้เกิดฝ้าขึ้นกระจกได้ง่ายนั่นเอง 3. ลดกระจกลงเพื่อให้อากาศด้านนอกเข้ามา  อาจจะไม่เหมาะในช่วงฤดูฝนเพราะจะทำให้ละอองฝนกระเด็นเข้ามาภายในรถได้ แต่ถ้าในช่วงฤดูหนาวการลดกระจกลงนิดหน่อย เพื่อให้อุณหภูมิด้านนอกเข้ามา ถือเป็นวิธีไล่ฝ้ากระจกที่ได้ผล แถมยังสามารถช่วยเปิดทัศนวิสัยการมองเห็นจากอาการฝ้าขึ้นที่กระจกได้ 4. ใช้ที่ปัดน้ำฝนปัดฝ้าที่เกาะอยู่หน้ากระจกได้  กรณีนี้ใช้ได้เฉพาะฝ้าที่เกิดขึ้นกับกระจกหน้ารถด้านนอกเท่านั้น สามารถฉีดน้ำสะอาดควบคู่กับการใช้ที่ปัดน้ำฝนได้เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกและฝ้าที่อยู่บนกระจก 5. ปรับช่องแอร์ให้เป็นโหมดอากาศเข้า  วิธีนี้ได้ผลดีที่สุดแต่ขอแนะนำให้เป็นวิธีสุดท้ายที่เลือกใช้ เพราะผลเสียจะอยู่ตรงที่เมื่อเปิดช่องให้อากาศจากข้างนอกเข้ามาแล้ว ก็อาจจะมีเศษขยะหรือฝุ่นปลิวมาติดในห้องเครื่องได้โดยเฉพาะตรงแอร์ ทำให้รูแอร์เกิดการอุดตันและเสียหายได้ หากลองทำตามวิธีไล่ฝ้ากระจกข้างต้น ทัศนวิสัยการมองเห็นขณะขับรถก็จะกลับมาดีขึ้นและปลอดภัยขึ้นค่ะ เรื่อง Fastfit ไว้ใจ ออโตคลิก !🧡

สาเหตุอะไรบ้าง ?? ที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์หมด

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์หมด... คืออะไรน้าา ?  ไฟหน้าหรือไฟในห้องโดยสารถูกเปิดทิ้งไว้ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพหรือไร้ประสิทธิภาพในการใช้งาน การรั่วไหลในระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่อแบตเตอรี่หลวมหรือเป็นสนิม สภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด ไดโอดทำงานผิดพลาด อย่างไรก็ตาม แวะเข้ามาตรวจเช็คสภาพรถยนต์กับบริการ CLIK CARE ที่ออโตคลิกเพื่อตรวจเช็คและบำรุงรักษารถยนต์ของท่านให้ใช้งานได้อย่างยาวนานและเต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ 

3 วิธีเช็กว่ายางรถยนต์ของคุณหมดสภาพแล้วหรือยัง ?

หมั่นตรวจสอบและเช็คยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า 'ยางรถยนต์' พร้อมใช้งานหรือหมดสภาพแล้วหรือยัง.. . 1. โครงสร้างของยางชำรุด ตรวจดูความชำรุดที่จะส่งผลให้โครงสร้างของยางรถยนต์ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยบาดแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรงจนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่าหน้า ยางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า แน่นอนว่าแก้มยางรถยนต์ ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์มีรอยแตกอาจนำไปสู่ยางรถยนต์ระเบิดหรือแตกขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ 2. ความลึกของดอกยางรถยนต์  ควรสังเกตความลึกของดอกยางรถยนต์ ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือไม่คุณอาจใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่อง ยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป 3. อายุของยางรถยนต์  บางส่วนอาจมีอายุการใช้งานได้ถึง 10 ปีเต็ม ก่อนที่ดอกยางรถยนต์จะสึกหรอไปจนถึงเวลาเปลี่ยน ซึ่งการเลือกใช้งานยางรถยนต์ใหม่ ไม่จำเป็นต้องใช้ยางรถยนต์ที่ผลิตภายใน 3 – 6 เดือน แต่สามารถเลือกใช้ที่ผลิตภายใน 1 – 2 ปีได้ โดยที่ประสิทธิภาพไม่ต่างกัน ขณะที่อายุการใช้งานสูงสุดของยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี..